ปัจจัยที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนิสิตสาขาวิชาเกษตรและสิ่งแวดล้อมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์และพัฒนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

The article of this research were to study: 1) Academic achievement levels of Students in the Field of Agricultural and Environmental Education; 2) Level of factors affecting academic achievement of Students in the Field of Agricultural and Environmental Education; and 3) Factors that affect academic achievement of Students in the Field of Agricultural and Environmental Education. The sample consisted of 113undergraduate students studying in year 1 to 4 in the Field of Agricultural and Environmental Education in academic year 2023 by Simple Random Sampling By drawing lots. The instrument for was a questionnaire. Data were analyzed with frequency, percentage, mean, standard deviation, Pearson's correlation coefficient, and stepwise multiple regression analysis. ​            The result revealed that: 1) Academic achievement levels of students in the agricultural and environmental studies program found that the majority of students had a cumulative GPA in the range of 3.00-3.50, 37 people (32.70 percent).; and 2) Level of factors affecting academic achievement of students in agricultural and environmental studies found that all aspects the factor at a high level. ; and3) regarding Factors affecting Academic Achievement were Learner factors include enthusiasm include (X1), Transfer knowledge(X9), and Family Educational promotion (X14). the three aspects could predict factors affecting academic achievement of students in the Field of Agricultural and Environmental Education at the percentage of 27.2; and the multiple correlation coefficient (R) was 0.522.บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนิสิตสาขาวิชาเกษตรและสิ่งแวดล้อมศึกษา 2) ศึกษาระดับปัจจัยที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนิสิตสาขาวิชาเกษตรและสิ่งแวดล้อมศึกษา 3) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนิสิตสาขาวิชาเกษตรและสิ่งแวดล้อมศึกษา กลุ่มตัวอย่างคือ นิสิตชั้นปีที่ 1 - 4 สาขาวิชาเกษตรและสิ่งแวดล้อมศึกษา ปีการศึกษา 2566 จำนวน 113 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบอย่างง่าย ด้วยวิธีจับสลาก เครื่องมือวิจัยคือแบบสอบถาม การวิเคราะห์ข้อมูลด้วย ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการถดถอยพหุคูณแบบเป็นขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนิสิตสาขาวิชาเกษตรและสิ่งแวดล้อมศึกษา พบว่า นิสิตส่วนใหญ่มีเกรดเฉลี่ยสะสมอยู่ในช่วง 3.00-3.50 จำนวน 37 คน (ร้อยละ 32.70) 2) ระดับปัจจัยที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนิสิตสาขาวิชาเกษตรและสิ่งแวดล้อมศึกษา พบว่า ทุกด้านอยู่ในระดับมาก 3) ปัจจัยที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนิสิตสาขาวิชาเกษตรและสิ่งแวดล้อมศึกษา ได้แก่ ปัจจัยด้านผู้เรียน ความกระตือรือร้น(X1) ปัจจัยด้านอาจารย์ผู้สอน วิธีการถ่ายทอดความรู้(X9) และปัจจัยด้านครอบครัว การส่งเสริมทางการศึกษา(X14) สามารถทำนายปัจจัยที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนิสิตสาขาวิชาเกษตรและสิ่งแวดล้อมศึกษา ได้ร้อยละ 27.2 โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณ (R) = 0.52

The การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน เรื่อง การถ่ายโอนความร้อน

The purposes of this research were 1) to develop brain-based learning activities for seventh grade students on the topic of heat transfer, 2) to compare students' scientific knowledge before and after learning, 3) to compare students’ basic science process skills before and after learning, and 4) to study students’ attitudes towards science. The sample, obtained by cluster random sampling, consisted of 34 seventh grade students from a classroom in a large secondary school located in Nakhon Pathom Province. The research instruments consisted of 1) 3 lesson plans for brain-based learning activities on the topic of heat transfer with a total duration of six hours, 2) a science knowledge test consisting of 20 multiple-choice items, each with four options, 3) a basic science process skill test with 20 multiple-choice items, and 4) a five-scaled questionnaire measuring attitudes toward science with 30 items. Data were collected during the second semester of the 2023 academic year. The data were analyzed using mean, percentage, standard deviation, and hypothesis testing with a dependent sample t-test. The results revealed that students’ scientific knowledge significantly increased after learning, at the .01 level of statistical significance. Their basic science process skills showed a statistically significant improvement at the .01 level. Students’ attitudes toward the science subject were found to be at a strongly agree level. การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานสำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เรื่อง การถ่ายโอนความร้อน 2) เพื่อเปรียบเทียบความรู้วิทยาศาสตร์ของนักเรียนก่อนและหลังเรียน 3) เพื่อเปรียบเทียบทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานของนักเรียนก่อนและหลังเรียน  และ 4) เพื่อศึกษาเจตคติของนักเรียนต่อวิทยาศาสตร์ กลุ่มตัวอย่างได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวน 34 คน จากโรงเรียนขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในจังหวัดนครปฐม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานเรื่องการถ่ายโอนความร้อน จำนวน 3 แผน รวมเวลาทั้งสิ้น 6 ชั่วโมง 2) แบบวัดความรู้วิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นแบบทดสอบปรนัย  4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ 3) แบบวัดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ มีลักษณะเป็นแบบทดสอบปรนัย       4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ และ 4) แบบวัดเจตคติต่อวิชาวิทยาศาสตร์ เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ จำนวน 30 ข้อ เก็บรวมรวมข้อมูลในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบสมมติฐานแบบ dependent sample t-test ผลการวิจัยพบว่านักเรียนมีความรู้วิทยาศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ความสามารถด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 เจตคติต่อวิทยาศาสตร์ของนักเรียนอยู่ในระดับเห็นด้วยอย่างยิ่

ESTIMATED BREEDING VALUES FOR 305 DAYS MILK YIELD TRAITS AND SIRE RANKING OF NILI-RAVI BUFFALOES IN PAKISTAN

Pedigree records of 2,881 buffaloes sired by 162 bulls from four Livestock Experiment Stations in Punjab, Pakistan were used. The objective of this study was to estimate the breeding values of animals for different traits to rank the sires and estimation of genetic trends. An Animal Model incorporating all known relationships was used for estimating variance components and breeding values. The estimation of (co)variances and breeding values were obtained using the Derivative Free Restricted Maximum Likelihood (DFREML) set of computer program. The JAA computer program was used for the estimation of reliability of breeding values. The mean estimated breeding value for 305-day milk yield (kg), was -23±287 kg, with an overall genetic trend of +3.5 kg ranged -3.4 to 10.2 kg among different herds. Sires were ranked based on their breeding values along with reliability. 305 days milk yield regression line showing negative genetic trend (Y = -58.084+3.870X). Genetic trend in the recent past decade was negative for the trait indicating that selection strategy especially for choosing young bulls in the artificial insemination program and progeny testing needs to be reevaluated

บทบาทของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนที่มีภาวะซึมเศร้า สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานี

This research aimed to 1) examine the roles of school administrators in implementing the student support system for students with depression, 2) examine the implementation of  the student support system for students with depression, and 3) analyze the role of school administrators affecting the implementation of the student support system for students with depression. The sample group consisted of 327 school administrators and teachers under the Pathum Thani Secondary Educational Service Area Office. The sample size was determined using Krejcie and Morgan’s table, derived by stratified random sampling based on school size to determine the proportional size of each group. Then, simple random sampling was applied by drawing lots to obtain the sample for each school size. Data were analyzed by finding frequency, percentage, mean, standard deviation, and conducting stepwise multiple regression analysis. The research results revealed that 1) the overall and individual levels of the roles of school administrators in implementing the student support system for students with depression were at a moderate level; 2) the overall and individual levels of the implementation of the student support system for students with depression were at a high level; and 3) the role of school administrators affecting the implementation of the student support system for students with depression (Ytot) included policy formulation and planning (x1), leadership (x2), supervision, monitoring and evaluation (x4), and participatory management (x5), with statistical significance at the .05 level. The regression equation in raw score form is as follows: Ŷ = 0.377 + 0.422 (x5) + 0.202 (x4) + 0.140 (x1) + 0.129 (x2). The model predicts 84.2% of the variance in school administration practices.         การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาบทบาทของผู้บริหารสถานศึกษาในการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนที่มีภาวะซึมเศร้า 2) ศึกษาการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนที่มีภาวะซึมเศร้า และ 3) วิเคราะห์บทบาทของผู้บริหารสถานศึกษาที่ส่งผลต่อการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนที่มีภาวะซึมเศร้า กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย คือ ผู้บริหารสถานศึกษาและครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานี รวมทั้งสิ้น 327 คน ได้มาโดยวิธีการเปิดตารางของเครจซี่และมอร์แกน โดยสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น จำแนกประชากรตามขนาดของสถานศึกษา และสุ่มตัวอย่างแบบง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม ได้รับแบบสอบถามกลับคืนมาจำนวน 270 ฉบับ คิดเป็นร้อยละ 83 วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ผลการวิจัย พบว่า 1) บทบาทของผู้บริหารสถานศึกษาในการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนที่มีภาวะซึมเศร้า โดยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง 2) การดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนที่มีภาวะซึมเศร้า โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 3) บทบาทของผู้บริหารสถานศึกษา ด้านกำหนดนโยบายและวางแผน (x1) ด้านเป็นผู้นำ (x2) ด้านนิเทศ ติดตามและประเมินผล (x4) และด้านการบริหารแบบมีส่วนร่วม (x5) ส่งผลต่อการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนที่มีภาวะซึมเศร้า (Ytot) สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานี อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สามารถเขียนสมการพยากรณ์ในรูปของคะแนนดิบได้ ดังนี้ Ŷ = 0.377 + 0.422 (x5) 0+ 0.202 (x4) + 0.140 (x1) + 0.129 (x2) และ มีอำนาจพยากรณ์ร้อยละ 84.

Contrasting Market Dynamics: The Fama-French Model in the SET and MAI of Thailand

This paper examines the applicability of the Fama-French three-factor model to the equity markets in Thailand, namely the SET and the MAI. Using a sample of data spanning 2012, to 2021, this study analyzes whether the factors of the model describe efficiently the stock returns in these markets and if the results are consistent with Fama and French (1993), in which small stocks outperform big stocks and value stocks outperform growth stocks. The results confirm that the Fama-French model holds in both the SET and the MAI, as size and book-to-market ratios exhibit significant explanatory power on stock returns. However, in the MAI, the size and value factors have negative signs, diverging from the original model's predictions. These findings have practical implications for portfolio managers. While size and book-to-market ratios are significant in both markets, managers in the MAI might benefit by allocating more capital to growth stocks and increasing their exposure to large-cap stocks in order to enhance portfolio returns. Yet, this strategy needs a more refined understanding of risks in investing in growth and large-cap equities since these results are contrary to the Fama and French (1993)’s hypothesis. By comparing and differentiating between SET and MAI, this study adds to existing literature with recent evidence on the effectiveness of the Fama and French (1993) model in Thailand and provides useful guidelines for portfolio management under these specific market settings

A ข้อเสนอการเลือกใช้เครื่องมือทางการเงินสมัยใหม่ในการดำเนินโครงการขนาดใหญ่สำหรับรัฐวิสาหกิจไทย

This paper proposes a process for selecting funding sources through traditional financial markets and modern financial instruments under a government policy framework. Several elements such as project types, project importances, financial market conditions and the debt capacity has been synthesized to form a basic guideline for selecting modern financial instruments for Thailand’s state-owned enterprises to be used as a preliminary approach in obtaining appropriate sources of funds under the current environment and constraints.บทความนี้ นำเสนอแนวทางการเลือกแหล่งเงินทุนผ่านตลาดการเงินแบบดั้งเดิมและเครื่องมือทางการเงินสมัยใหม่สำหรับรัฐวิสาหกิจภายใต้กรอบนโยบายของรัฐบาลโดยนำองค์ประกอบต่างๆ เช่น ประเภทของโครงการ ความสำคัญของโครงการ สภาวะของตลาดการเงิน และความสามารถในการก่อหนี้ขององค์กร มาสังเคราะห์เป็นแนวทางเบื้องต้นในการเลือกใช้เครื่องมือทางการเงินสมัยใหม่สำหรับรัฐวิสาหกิจ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการจัดหาแหล่งเงินทุนที่เหมาะสมกับบริบทของรัฐวิสาหกิจไท

SERUM BIOCHEMICAL PARAMETERS DURING DIFFERENT STAGES OF PREGNANCY IN MURRAH BUFFALOES

The most significant and productive milk producer among Indian buffalo breeds is the Murrah. Determining reference values for the serum biochemical markers of Murrah buffaloes at different stages of pregnancy was the aim of the current study. This study included 28 Murrah buffaloes from the Indore district of Madhya Pradesh, India. They have been separated into 4 groups: Group I was non-pregnant, Group 2 was in “the 1st trimester of pregnancy, Group 3 was in the 2nd trimester of pregnancy, and Group 4 was in the 3rd trimester of pregnancy” till parturition. Every group had 7 animals. Blood samples were tested for serum biochemical measures, including total albumin, BUN (blood urea nitrogen), AST (aspartate aminotransferase), glucose, uric acid, globulin, HDL (higher density lipoprotein) cholesterol, A/G (albumin/globulin) ratio, LDL (lower density lipoprotein) cholesterol, creatinine, total cholesterol, ALT (alanine-aminotransferase), triglycerides, ALP (alkaline phosphatase), andprotein. Late-pregnancy serum albumin levels in comparison to mid-pregnancy and non-pregnant animals; HDL cholesterol in early-, mid-, and late-pregnancy in animals as well as non-pregnant, mid-, as well as late-pregnant animals; ALT as well as AST levels in late pregnancy in comparison to other cohorts; glucose levels in pregnant animals as opposed to those that are not; Urea levels in non-pregnant, early, middle, and late-pregnant animals; BUN between early-, middle-, and late-stage pregnancy and non-pregnant animals; early-pregnant with late pregnant animals-all displayed a greatly significant variance (P<0.01). Serum “levels of total protein in the middle along with late phase of pregnancy has been significantly (P<0.05) different from those of the non-pregnant” animal, total cholesterol in the 3rd trimester of pregnancy was different from other groups, and only uric acid was different between the non-pregnant and postpartum animals. The levels of globulin, LDL cholesterol, A/G ratio, ALP, triglycerides, as well as creatinine did not significantly differ (P>0.05) across the groups. The current research concluded by establishing reference values that serve as a helpful guide for evaluating blood biochemical markers in Murrah buffaloes at various stages of pregnancy

ปัจจัยขับเคลื่อนการตัดสินใจท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างประเทศรายได้ดี ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก กรณีศึกษาจังหวัดชลบุรี

Wellness tourism is one of the fastest-growing trends in the tourism industry, as people increasingly prioritize health and quality of life. Thailand is a prominent country in wellness tourism, particularly in Southeast Asia, due to its rich natural resources, unique cultural heritage, and high-quality medical services at competitive prices. Chonburi Province, renowned for its tourist attractions, not only boasts stunning beaches and diverse travel destinations but also provides comprehensive health services. This research aims to examine the push and pull motivations of high-income tourists influencing their decision to engage in health tourism in Chonburi. The findings will serve as a guideline for effectively planning the development of health tourism to better meet the needs of international high-income tourists. Push motivation refers to intrinsic factors that stimulate individuals to undertake travel, whereas pull motivation pertains to external attributes of a destination that attract travelers in response to their internal drives. This study employed a quantitative research approach, utilizing a survey questionnaire to collect data from 356 high-income international tourists visiting Chonburi for health tourism with sampling method applied as Quota Sampling. The data were analyzed using descriptive statistics, One-Way ANOVA to examine mean differences, paired comparisons with LSD, and multiple linear regression analysis. The results revealed that age, education, occupation, income, and nationality significantly influenced the motivations of affluent tourists participating in wellness tourism. Furthermore, both push and pull factors positively impacted the decision-making process of affluent international tourists in choosing Chonburi as a wellness tourism destination.  การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเป็นหนึ่งในแนวโน้มการท่องเที่ยวที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน ซึ่งผู้คนให้ความสำคัญกับสุขภาพและคุณภาพชีวิตมากขึ้น ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ด้วยความหลากหลายของทรัพยากรธรรมชาติ วัฒนธรรมที่โดดเด่น และบริการทางการแพทย์คุณภาพสูงในราคาที่แข่งขันได้ จังหวัดชลบุรีซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีชื่อเสียงด้านการท่องเที่ยว ที่ไม่เพียงมีชายหาดที่งดงามและสถานที่ท่องเที่ยวที่หลากหลาย แต่ยังมีบริการด้านสุขภาพที่ครอบคลุม การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแรงจูงใจผลักและแรงจูงใจดึงของนักท่องเที่ยวต่างประเทศรายได้ดีที่มีผลต่อการตัดสินใจเดินทางมาท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในจังหวัดชลบุรี เพื่อใช้เป็นเป็นแนวทางในการวางแผนการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวต่างประเทศรายได้ดีอย่างเหมาะสม โดยแรงจูงใจผลักเป็นแรงกระตุ้นภายในให้คนตัดสินใจเดินทางเพื่อการท่องเที่ยว ในขณะที่ แรงจูงใจดึงเป็นปัจจัยดึงดูดให้เดินทางไปยังสถานที่นั้น ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของแรงผลัก งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) ใช้วิธีการสํารวจด้วยแบบสอบถามและเก็บข้อมูลจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศรายได้ดีที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเชิงสุขภาพจังหวัดชลบุรี ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบโควตา (Quota Sampling) จำนวน 356 ตัวอย่าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive Statistic) การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-Way ANOVA) การเปรียบเทียบความแตกต่างรายคู่แบบ LSD และสถิติถดถอยพหุคูณเชิงพหุ (Multiple Linear Regression) ผลการวิจัย พบว่าปัจจัยด้านอายุ การศึกษา อาชีพ รายได้ และสัญชาติ แตกต่างกันมีผลต่อแรงจูงใจของนักท่องเที่ยวต่างประเทศรายได้ดีที่เดินทางมาท่องเที่ยวเชิงสุขภาพแตกต่างกัน รวมทั้งปัจจัยผลักและปัจจัยดึงมีอิทธิพลเชิงบวกต่อการตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในจังหวัดชลบุรีของนักท่องเที่ยวต่างประเทศรายได้ดี

สมรรถนะทางอารณ์และสังคมของนักเรียนอาชีวศึกษา

The aim of this study was to understand the current state of emotional and social skills of vocational students. We collected preliminary data of Technical and Vocational Education and Training (TVET) students. The sample consisted of 136 vocational students at the vocational certificate level and higher vocational certificate level. The study used Non-probability Sampling Methods. The data collection tool is a social and emotional competency assessment questionnaire that measures five characteristics as follows: 1) self-awareness, 2) understanding or social awareness. 3) emotional management, 4) relationship skills, and 5) taking responsibility for decisions. The data is analyzed using the mean and standard deviation. The study found that students had the highest level of social and emotional competency in relationship skills ( = 5.1, S.D. = 1.1), followed by self-awareness ( = 4.9, S.D. = 1.1), responsible decision-making ( = 4.9, S.D. = 1.1), emotional management ( = 4.5, S.D. = 1.3), and social awareness ( = 4.4, S.D. = 1.2), respectively. When compared to studies conducted abroad, Thai students tend to rate themselves higher in social and emotional skills. However, both in Thailand and other counties, the trend is similar—students generally score higher on awareness of their own emotions than on understanding the emotions of others.การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานภาพทักษะทางอารมณ์และสังคมในปัจจุบันของนักเรียนอาชีวศึกษา กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนอาชีวศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) และระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) จำนวน 136 คน ด้วยวิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างที่ไม่ใช้ความน่าจะเป็น (Non-probability Sampling) และมีเครื่องมือการเก็บข้อมูล คือ แบบทดสอบสมรรถนะทางสังคมและอารมณ์ที่วัดคุณสมบัติ 5 ประการ ดังนี้ 1) การตระหนักรู้ในตัวเอง 2) ความเข้าใจหรือตระหนักรู้ด้านสังคม 3) การรู้จักบริหารจัดการอารมณ์ 4) ทักษะด้านความสัมพันธ์ และ 5) การรับผิดชอบในสิ่งที่ตัดสินใจ โดยวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษาพบว่า นักเรียนมีพื้นฐานทางด้านสมรรถนะทางอารมณ์และสังคมที่สูงที่สุดในด้านทักษะ ด้านความสัมพันธ์ ( = 5.1 S.D. = 1.1) ตามด้วยการตระหนักรู้ในตัวเอง ( = 4.9 S.D. = 1.1) ด้านการรับผิดชอบในสิ่งที่ตัดสินใจ ( = 4.9 S.D. = 1.1) ด้านการรู้จักบริหารจัดการอารมณ์ ( = 4.5 S.D. = 1.3) และด้านความเข้าใจหรือตระหนักรู้ด้านสังคม ( = 4.4 S.D. = 1.2) ตามลำดับ หากเปรียบเทียบกับการศึกษาในต่างประเทศแล้วนั้น นักเรียนไทยมีแนวโน้มที่จะให้คะแนนตนเองด้านทักษะทางอารมณ์และสังคมที่สูงกว่า  โดยทั้งในไทยและต่างประเทศมีแนวโน้มในทิศทางเดียวกัน โดยคะแนนการรับรู้ของอารมณ์ของตนเองสูงกว่าเมื่อเทียบกับคะแนนการเข้าใจถึงอารมณ์ของผู้อื่

ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา นำร่องในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาญจนบุรี

          The purposes of this research were 1) to study the level of innovative leadership of school administrators in the education sandbox, and 2) to compare the level of innovative leadership of school administrators in the education sandbox based on teachers' opinions under the Secondary Educational Service Area Office Kanchanaburi, classified by teacher’ educational qualifications, work experience, subject groups, special assignments, and school size. The sample were 132 teachers holding the position as head of subjects learning area and head of special task assignments in the education sandbox of Kanchanaburi secondary educational service. The research instrument was the 5-level scale questionnaires. The reliability was 0.97. The statistical methods used were arithmetic mean (x ̅), standard deviation (S.D.), t-test, and one-way ANOVAThe research finding were as follows. 1) The overall assessment of opinions on the innovative leadership of school administrators in the education sandbox was found to be at a highest level. When considering each aspect,a vision for change, creativity, teamwork and participation, and creating an innovative organizational climate were found to be at a high level.2) The innovative leadership of school administrators in the education sandbox, according to the opinions of teachers, classified by work experience and the special tasks assignments of teachers, showed a statistically significant difference at the .05 level in the aspects of having a vision for change, creating an innovative organizational climate, and risk management. While factors such as educational qualifications, learning areas, and school size did not significantly.          การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา นำร่องในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา 2) เปรียบเทียบระดับภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา นำร่องในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา ตามความคิดเห็นของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษากาญจนบุรี จำแนกตามวุฒิการศึกษา ประสบการณ์ทำงาน กลุ่มสาระการเรียนรู้ กลุ่มงานพิเศษที่ได้รับมอบหมาย และขนาดสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ ได้แก่ ครูหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้และหัวหน้างานพิเศษที่ได้รับมอบหมาย จากสถานศึกษานำร่องในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา จำนวน 132 คน ใช้แบบสอบถาม มาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.97 สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบที และการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว ผลการวิจัยพบว่า             1) ระดับภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษานำร่องในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาในภาพรวม มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า การมีวิสัยทัศน์การเปลี่ยนแปลง  การคิดสร้างสรรค์ การทำงานเป็นทีมและมีส่วนร่วม การสร้างบรรยากาศแห่งองค์การนวัตกรรม มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด ส่วนการบริหารความเสี่ยง มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก 2) ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษานำร่องในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา ตามความคิดเห็นของครู จำแนกตาม ประสบการณ์ทำงานและกลุ่มงานพิเศษที่ได้รับมอบหมายของครู มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 ในด้านการมีวิสัยทัศน์การเปลี่ยนแปลง ด้านการสร้างบรรยากาศแห่งองค์การนวัตกรรม และด้านการบริหารความเสี่ยง ในขณะที่ปัจจัยด้านวุฒิการศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้ และขนาดสถานศึกษา ไม่มีความแตกต่า