ผลของการใช้โปรแกรมการคิดแบบหมวก 6 ใบ เพื่อพัฒนาทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนแสงหิรัญวิทยา สำนักงานเขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร

บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ก่อนและหลังได้เข้าร่วมโปรแกรมการคิดแบบหมวกหกใบ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนแสงหิรัญวิทยา สำนักงานเขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร ซึ่งได้จากการสุ่มอย่างง่ายจำนวน 39 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) โปรแกรมการคิดแบบหมวกหกใบเพื่อพัฒนาทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ  2) แบบวัดความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ 3) แบบบันทึกการเรียนรู้ของนักเรียนที่มีต่อชุดโปรแกรมการคิดแบบหมวกหกใบ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าสถิติโดยใช้สถิติพาราเมตริก และการสรุปเนื้อหาผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนกลุ่มทดลองที่เข้าร่วมกิจกรรมมีคะแนนจากแบบวัดความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณในระยะหลังการทดลองสูงกว่าระยะก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) นักเรียนที่เข้าร่วมโปรแกรมการสอนคิดแบบหมวกหกใบเพื่อพัฒนาทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ มีความคิดเห็นต่อโปรแกรมการสอนคิดแบบหมวกหกใบช่วยให้นักเรียนตัดสินใจได้รวดเร็วและมีเหตุผล สามารถคิดอย่างเป็นขั้นตอนตามองค์ประกอบการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ส่งผลให้นักเรียนสามารถแยกแยะข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงได้โดยปราศจากอารมณ์และความรู้สึกส่วนตัว กล้าแสดงความคิดเห็นและโต้ตอบกับเพื่อน รวมทั้งยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น นักเรียนสามารถหาแนวทางแก้ปัญหา ข้อสรุปของสถานการณ์ต่างๆได้อย่างเหมาะสม โดยคิดอย่างมีวิจารณญาณในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้  คำสำคัญ: หมวกหกใบ,  การคิดอย่างมีวิจารณญาณ,  นักเรียน,  การคิด  ABSTRACT The purposes of this study was to compare the students’ critical thinking ability before and after being taught by six thinking hats Program of mathayomsuksa 2 students. The sample consists of 39 students from mathayomsuksa 2 students at Sanghirunwittaya School in Ladkrabang Area, Bangkok. Using simple random sampling method. The instruments for study this research were used: 1) Six Thinking Hats activities to promote critical thinking. 2) Critical Thinking ability test, and 3) Student’s Self-Report in each session and the Researcher. Data were analyzed by Mean, standard deviation, and content analysis. Results indicated that: 1) Critical Thinking posttest score of the experimental group were higher than the pretest score at .05 level of significance. 2) The student revealed their opinions toward the Six thinking hats activities to promote critical thinking. They perceived that six thinking hat activities could improve fast decision making and think step by step based on critical thinking elements. As a result students are able to distinguish factual information without personal feelings, they are able to express opinions and respond to their friends, as well as respect opinions of others. They were able to find the best solution and critical thinking in difference circumstances and could apply their knowledge to their everyday life.   Keywords:  Six Thinking Hats, Critical Thinking, Student, Thinking Skill

ความภักดีต่อองค์การที่ส่งผลต่อการบริหารงานโรงเรียนรางวัลพระราชทาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาภาคใต้

การวิจัยนี้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงพรรณนามีวัตถุประสงค์เพื่อทราบ 1) ความภักดีต่อองค์การในโรงเรียนรางวัล พระราชทานสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาภาคใต้ 2) การบริหารงานโรงเรียนรางวัลพระราชทานสังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาภาคใต้ 3) ความภักดีต่อองค์การที่ส่งผลต่อการบริหารงานโรงเรียนรางวัล พระราชทาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาภาคใต้ ประชากรคือ โรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาภาคใต้ที่เป็นโรงเรียนรางวัลพระราชทานและได้รับรางวัลพระราชทาน 2 ปีการศึกษาขึ้นไป จำนวน 52 โรงเรียน ผู้ให้ข้อมูลในแต่ละโรงเรียนได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา 1 คน รองผู้บริหารสถานศึกษา 1 คน ครู 2 คน และ คณะกรรมการสถานศึกษา 2 คน รวมทั้งสิ้น 312 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่ามัชฌิมเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน ผลการวิจัยพบว่า 1. องค์ประกอบความภักดีต่อองค์การมี 10 องค์ประกอบ คือ 1) การสร้างความภูมิใจในการเป็นสมาชิก องค์การ 2) ความศรัทธาต่อองค์การ 3) การวางแผนและการกระจายอำนาจในการทำงาน 4) การมีความเป็นกัลยาณมิตร 5) การมีขวัญกำลังใจในการทำงาน 5) การเป็นสมาชิกที่ดีต่อองค์การ 7) การมีวัฒนธรรมองค์การที่เอื้อต่อการทำงาน 3) การแสดงออกตามความสามารถ 3) การมีส่วนร่วมในองค์การ และ 10) การมีจิตสำนึกที่ดี 2. องค์ประกอบการบริหารงานโรงเรียนรางวัลพระราชทานสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาภาคใต้ มี 5 องค์ประกอบคือ 1) คุณภาพนักเรียน 2) การบริหารหลักสูตรและงานวิชาการ 3) การบริหารการจัดการ 4) ความสัมพันธ์ระหว่างสถานศึกษากับผู้ปกครองและชุมชน 5) บุคลากรและการบริหารงานบุคลากร และ6) ความดีเด่นของสถานศึกษา 3. ความภักดีต่อองค์การที่ส่งผลต่อการบริหารงานโรงเรียนรางวัลพระราชทานสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาภาคใต้ มี 4 องค์ประกอบคือ องค์ประกอบที่ 1 การสร้างความภูมิใจในการเป็นสมาชิกของ องค์การองค์ประกอบ ที่ 9 การมีส่วนรวมในองค์การ องค์ประกอบที่ 5 การมีขวัญกำลังใจในการทำงาน และองค์ประกอบที่ 4 การมีความเป็น กัลยาณมิตร ทั้ง 4 องค์ประกอบ สามารถทำนายการบริหารงานโรงเรียนรางวัลพระราชทานสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษามัธยมศึกษาภาคใต้ได้ร้อยละ 51.80 แสดงว่าทั้ง 4 องค์ประกอบส่งผลต่อการบริหารงานโรงเรียนรางวัลพระราชทานสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาภาคใต

ผลของกิจกรรมแนะแนวทุนทางจิตวิทยาเชิงบวก เพื่อพัฒนาการเห็นคุณค่าในตนเอง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสตรีวัดระฆัง

บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผลของกิจกรรมแนะแนวทุนทางจิตวิทยาเชิงบวก            เพื่อพัฒนาการเห็นคุณค่าในตนเอง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสตรีวัดระฆัง งานวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi Experimental Research)  ประชากรคือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสตรีวัดระฆัง ปีการศึกษา 2563 จำนวน 286 คน ผู้วิจัยเลือกกลุ่มตัวอย่างด้วยวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Sampling) จากห้องเรียน 2 ห้อง ที่มีการเห็นคุณค่าในตัวเองไม่แตกต่างกัน จากนั้นใช้การสุ่มเข้ากลุ่ม (Random Assignment) เป็นกลุ่มทดลอง 1 ห้อง จำนวน 39 คน และกลุ่มควบคุม 1 ห้อง จำนวน 40 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) กิจกรรมแนะแนวทุนทางจิตวิทยาเชิงบวก เพื่อพัฒนาการเห็นคุณค่าในตนเอง 2) แบบวัดการเห็นคุณค่าในตนเอง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าสถิติ Parametric t – test  ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนกลุ่มทดลองมีการเห็นคุณค่า ในตนเองหลังการทดลองสูงขึ้นกว่าก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 2) นักเรียนกลุ่มทดลองมีคะแนนการเห็นคุณค่าในตนเอง สูงกว่านักเรียนกลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01   คำสำคัญ : กิจกรรมแนะแนว, ทุนทางจิตวิทยาเชิงบวก, การเห็นคุณค่าในตนเอง  ABSTRACT The purpose of this research was to study the Effects of Guidance Activities Based on Positive Psychological Capital to Increase Self-Esteem for students in Mattayomsuksa three of Satri Wat Rakhang School. This research was a Quasi Experimental Research. The populations were 286 students in Mattayomsuksa three, academic year of 2020, Satri Wat Rakhang School. The sample group was selected by a Cluster Sampling from two classes that the Self-esteem test results were not much different. Then, the Random Assignment was used; 39 students for an experimental group and 40 students for a control group. The instruments used in this research were 1) Guidance Activities Based on Positive Psychological Capital to Increase Self-Esteem 2) Self-Esteem Test. The data was collected by using Mean, Standard Deviation, and Parametric t-test. The results indicated that 1) after experiment, the students in experimental group have more Self-esteem significantly at 0.01 level. 2)The Self-esteem test result of students in experimental group were higher than the students in control group significantly at 0.01 level.   Keywords:  Guidance Activity, Positive Psychological Capital, Self-Esteem

การศึกษาความสามารถในการอ่านจับใจความของนักเรียนที่มีปัญหาด้านการอ่าน ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยใช้วิธีการสอนคิดออกเสียงร่วมกับบอร์ดเกมออนไลน์

บทคัดย่อ งานวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาและเปรียบเทียบความสามารถในการอ่านจับใจความก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนที่มีปัญหาด้านการอ่าน  ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย  โดยใช้วิธีการสอนคิดออกเสียงร่วมกับบอร์ดเกมออนไลน์  และศึกษาประสิทธิภาพของบอร์ดเกมออนไลน์ กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยเป็นนักเรียนที่มีปัญหาด้านการอ่าน ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ภาคเรียนที่ 2  ปีการศึกษา 2564  โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ บดินทรเดชา จำนวน 7 คน ใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง  เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ประกอบด้วย (1) แบบทดสอบการอ่านจับใจความ (2) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีการสอนคิดออกเสียงร่วมกับบอร์ดเกมออนไลน์ และ (3) บอร์ดเกมออนไลน์  ดำเนินการทดลองเป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์  สัปดาห์ละ 5 วัน วันละ 40 นาที รวมทั้งสิ้น 18 ครั้ง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ คะแนนพัฒนาการ ค่าประสิทธิภาพของเครื่องมือ และการนำเสนอด้วยกราฟ ผลการวิจัยพบว่า (1) ความสามารถในการอ่านจับใจความของนักเรียนที่มีปัญหาด้านการอ่านที่เข้าร่วมการเรียนรู้  โดยใช้วิธีการสอนคิดออกเสียงร่วมกับบอร์ดเกมออนไลน์ นักเรียนมีความสามารถในการอ่านอยู่ในระดับดีมาก (ค่าเฉลี่ยเท่ากับ ร้อยละ 90.71)  (2) ความสามารถในการอ่านจับใจความของนักเรียนที่มีปัญหาด้านการอ่านหลังการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนคิดออกเสียงร่วมกับบอร์ดเกมออนไลน์ สูงขึ้นกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการสอนคิดออกเสียงร่วมกับบอร์ดเกมออนไลน์  โดยมีค่าคะแนนพัฒนาการเฉลี่ยเท่ากับ ร้อยละ 82.57 และ (3) ประสิทธิภาพของบอร์ดเกมออนไลน์ เท่ากับ 92.77/90.70   คำสำคัญ : นักเรียนที่มีปัญหาด้านการอ่าน, การอ่านจับใจความ, การคิดออกเสียง, บอร์ดเกมออนไลน์  ABSTRACT The aims of this research were to examine and compare the comprehension ability of upper secondary school students with reading difficulties through The Think Aloud and Online board games. The target group in this research included seven upper secondary students with reading difficulties in Grades Ten to Twelve at Nawaminthrachinuthit Bodindecha School in Bangkok. The study was conducted during the second semester of the 2021 academic year. The instruments used in the study consisted of the following: (1) a comprehension ability test; (2) lesson plans using the Think Aloud and Online board games; and (3) Online board games. The experiment lasted for four week and consisted of 18 sessions, one session a day at 40 minutes per session. The data were analyzed using descriptive statistics, including mean, percentage, and development scores. The efficiency scores of the products, and graphical representations. The findings revealed the following: (1) the comprehension ability of students after the experiment was at the level of excellent, with an average score of 90.71 %; (2) the comprehension ability scores of the students were higher than prior to the experiment, with an average development score of 82.57; and (3) the efficiency scores of the Online board games were acceptable according to the standard of 92.77/90.70   Keyword: Reading Difficulty, Reading Comprehension, Think Aloud, Online Board Games

การออกแบบธุรกิจต้นแบบโรงเรียนสอนร้องเพลงที่จําแนก ตามความถนัดเพื่อตอบโจทย์ของผู้เรียนยุคใหม่: Prototype Business Model: A Singing School Classified by Aptitude to Meet the Needs of Modern Learners

บทคัดย่อ การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศ เพื่อวิเคราะห์โครงสร้างและการบริหารงานแผนธุรกิจที่นำไปสู่ความสำเร็จของโรงเรียนสอนร้องเพลงที่ประสบความสำเร็จ และเพื่อพัฒนาธุรกิจต้นแบบของโรงเรียนสอนร้องเพลงที่ตรงตามความต้องการของกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมาย โดยใช้การสัมภาษณ์แบบเจาะลึก (In-depth interview) ผู้บริหารโรงเรียนสอนร้องเพลง 3 แห่ง และแจกแบบสอบถามบุคคลทั่วไปที่มีประสบการณ์และความต้องการในการเรียนร้องเพลง จำนวน 400 ชุด ผลการศึกษาพบว่า บุคคลทั่วไปที่มีประสบการณ์และความต้องการในการเรียนร้องเพลง มีจุดมุ่งหมายหลักของการมาเรียนร้องเพลงและเต้นรำ คือ ต้องการเป็นศิลปิน มีปัจจัยหลักในการตัดสินใจเลือกสถาบันการเรียน คือ ครูผู้สอน มีปริมาณชั่วโมงเรียนต่อสัปดาห์อยู่ที่ 3 – 5 ชั่วโมง มีช่วงเวลาเรียนหลัก คือ ช่วงเสาร์อาทิตย์ และมีค่าใช้จ่ายการเรียนเฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 5,001 – 10,000 บาท ความต้องการในแผนธุรกิจในโรงเรียนสอนร้องเพลงและเต้นรำ คือ ต้องการผู้สอนมีประสบการณ์และมีทักษะเฉพาะทางในระดับมากที่สุด รองลงมาคือต้องการให้สถาบันการสอนควรมีพื้นที่การจัดแสดงผลงานของลูกศิษย์และต้องการหลักสูตรหรือรูปแบบการสอนที่เป็นอัตลักษณ์เฉพาะของสถาบันในระดับมาก ตามลำดับ Business Model Canvas สำหรับโรงเรียนสอนร้องเพลงของผู้เรียนยุคใหม่ ผลลัพธ์ดังนี้ 1) มีกลุ่มเป้าหมายหลัก คือกลุ่มคนวัยประถมถึงมัธยมที่ชื่นชอบการร้องเพลงและเต้นรำ 2) คุณค่าของสถาบัน คือหลักสูตรจากบุคลากรที่มีศักยภาพและการสอนที่ครอบคลุมและหลากหลาย 3) ช่องทางการสื่อสารหลัก คือการใช้สื่อสังคมออนไลน์ 4) การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า มุ่งเน้นสร้างพื้นที่ในการแสดงออกของผู้เรียน เพื่อสร้างความผูกพันและการสนับสนุนระหว่างกัน 5) รายได้ของสถาบันมาจาก 2 ส่วน คือ รายได้จากการสอนและการทำโปรเจคกับพาร์ทเนอร์ 6) ทรัพยากรหลัก คือ ครูผู้สอน พนักงาน และอุปกรณ์การสอน 7) กิจกรรมหลัก คือหลักสูตรร้องเพลงและเต้นรำ 8) พันธมิตรหลัก คือ Collaboration ร่วมกับศิลปินค่ายต่างๆ หรือกลุ่มลูกศิษย์ และ 9) โครงสร้างต้นทุนของ ประกอบด้วยค่าใช้จ่ายแบบ Fixed Cost และค่าใช้จ่ายส่วนการบริหารจัดการ   คำสำคัญ: แผนธุรกิจ โรงเรียนสอนร้องเพลง ผู้เรียนยุคใหม่                 Abstract This study aims to study excellent practices to analyze the structure and the business plan that led to the success of the singing school and to develop a prototype business model for singing schools that meet the needs of the target consumer. Use in-depth interviews with the leaders of 3 singing schools and collect surveys of 400 people with experience and the need to learn to sing. The results show that people with experience and the need to learn singing have the main purpose of attending classes is to be an artist. The key factor in deciding on the academy is teachers. The amount of learning hours per week is 3-5 hours. The class period is on weekends. The average monthly cost of study is 5,001 – 10,000 baht. For the business plan, people need teachers to have experience and specialized skills at the highest level. They need a space to exhibit students' work and have a curriculum or teaching style that is unique at a high level. Business model canvas for a singing school of modern learners, the results are as follows: 1) Customer segments are people in elementary to high school who love to sing and dance 2) Value propositions are the courses with potential teachers and the various courses for singing and dancing skill 3) Channels are social media 4) Customer relationships focus on creating space for learners that can build bonds and support each other 5) Revenue streams are revenue from teaching and revenue from projects with partners 6) Key resources are teachers, employees, and teaching equipment 7) Key activities are singing and dancing courses 8) Key partnerships are a collaboration with label artists or school students 9) Cost structures are the fixed costs and the administrative expenses.   Keywords: Business Model Canvas, Singing School, Modern Learner

การส่งเสริมทักษะการคิดทางประวัติศาสตร์ของนิสิตครูโดยใช้การเรียนรู้แบบโครงงานและชุมชนเป็นฐานร่วมกับวิธีการทางประวัติศาสตร์: กรณีศึกษานิสิตครูสาขาสังคมศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ: Promoting Historical Thinking Skills of Pre-Service Teachers Through Project and Community Based Learning with Historical Method: A Case Study of Pre-Service Teachers of Social Studies at Srinakharinwirot University

                     การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบทักษะการคิดทางประวัติศาสตร์ของนิสิตครูสาขาสังคมศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒที่เรียนรู้โดยใช้การเรียนรู้แบบโครงงานและชุมชนเป็นฐานร่วมกับวิธีการทางประวัติศาสตร์ก่อนและหลังการทดลอง ตลอดจนความพึงพอใจของนิสิตที่เรียนรู้ด้วยกระบวนการดังกล่าว ซึ่งเป็นการวิจัยแบบกลุ่มเดียวทดสอบก่อนและหลังการทดลอง มีระยะเวลาการเก็บข้อมูล 15 สัปดาห์ กระบวนการวิจัยแบ่งเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 การการออกแบบการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์โดยใช้การเรียนรู้แบบโครงงานและชุมชนเป็นฐานร่วมกับวิธีการทางประวัติศาสตร์ และระยะที่ 2 การทดลองใช้การเรียนการสอนดังกล่าว กลุ่มเป้าหมาย คือ นิสิตครู สาขาวิชาสังคมศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ซึ่งเป็นอาสาสมัครเข้ารับการทดลองจำนวน 34 คน ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ (1) นิสิตครูทีเรียนรู้ด้วยการเรียนรู้แบบโครงงานและชุมชนเป็นฐานร่วมกับวิธีการทางประวัติศาสตร์มีทักษะการคิดทางประวัติศาสตร์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และ (2) นิสิตครูมีความพึงพอใจในการเรียนรู้แบบโครงงานและชุมชนเป็นฐานร่วมกับวิธีการทางประวัติศาสตร

แนวทางการเพิ่มระดับความเข้าใจเรื่องกรรมในผู้สูงอายุ The Ways to Increase Level of Understanding of Karma among the Elderly

This research has 2 objectivities which were (1) to study the ways to understanding karma. And (2) to study the ways to increase level of understanding of karma in the elder. It is a mixed method research using documentary research method analyze Somdej Phra Yanasamvara Somdej Phra Sangha Patriarch Sakon Maha Sangkhaparinayok works are related to the subject of "Karma". And interviews research method analyzes with 12 key informants by content analysis. The analysis results showed that. 1) An approach based on Buddhist principles on understanding of karma has 3 main points: Buddhist understanding of karma, yielding of karma, and principles or guidelines for conducting good karma until out of karma. 2) The ways to increase level of understanding of karma in the elder from 3 main points to understanding karma: The ways to increase level of Buddhist understanding of karma for the elder are fostering a full understanding of the meaning of karma in accordance with the true meaning of karma.       For, the ways to increase level of yielding of karma for the elder are promote the understanding of the consequences of karma in connection with the subject matter of action, Karma action time Including the degree of violence in the action of karma. And the ways to increase level of principles or guidelines for conducting good karma until out of karma for the elder are inducement the principles from the elder monks adhered as a guideline for conducting good deeds that are suitable for the elderly. It also encourages the elderly to do good in what is already done correctly and consistently through social activities. Keywords: Karma; the elderl

ปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองของนิสิตนักศึกษา หลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญปี 2560: Factors Affecting Students’ Political Participation after the Promulgation of the 2017 Constitution

บทคัดย่อ การศึกษาเรื่อง ปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองของนิสิตนักศึกษาหลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญปี 2560 เป็นการศึกษาเชิงคุณภาพ โดยได้เก็บรวบรวมข้อมูลจากนิสิตนักศึกษากลุ่มตัวอย่าง อายุระหว่าง 18-25 ปี ซึ่งต้องเป็นผู้ที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งในการเลือกตั้งทั่วไปวันที่ 24 มีนาคม 2562 จำนวนมหาวิทยาลัยละ 60 คน จาก 3 มหาวิทยาลัย ได้แก่ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และมหาวิทยาลัยศิลปากร โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) ศึกษาลักษณะการมีส่วนร่วมทางการเมืองของนิสิตนักศึกษา 2) ศึกษาปัจจัยที่นำมาสู่การมีส่วนร่วมทางการเมืองของนิสิตนักศึกษา และ3) วิเคราะห์ลักษณะการมีส่วนร่วมทางการเมืองของนิสิตนักศึกษาต่อการพัฒนาประชาธิปไตยไทยผลการศึกษาพบว่า กิจกรรมที่นิสิตนักศึกษาคิดว่าจะเข้าไปมีส่วนร่วมทุกครั้งที่มีโอกาสคือ การใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้ง/ลงประชามติ รองลงมาคือการสนทนาทางการเมือง โดยบทบาทของสื่อประเภทออนไลน์ โดยเฉพาะ เฟซบุ๊ค และทวิตเตอร์ ถือเป็นแหล่งข้อมูลที่สำคัญที่สุด โดยกลุ่มนี้สนใจรับรู้ข้อมูลข่าวสารทุกวันหรือทุกครั้งที่มีโอกาส อย่างไรก็ตาม หากพิจารณามุ่งมองต่อพรรคการเมือง นักการเมือง และสื่อมวลชน ส่วนใหญ่มักตั้งคำถามต่อการทำหน้าที่กลุ่มเหล่านี้ และมองว่าการที่สนใจเข้ามามีส่วนร่วมเพราะเป็นเรื่องของสิทธิ ต้องการเห็นการพัฒนาที่มากขึ้นของการเมือง และประชาธิปไตย ในขณะที่ความเห็นต่อรัฐธรรมนูญกับการเอื้อต่อการมีส่วนร่วม พบว่า ส่วนใหญ่ตอบในทำนองเดียวกันว่า ไม่เอื้อ และผลการศึกษายังพบด้วยว่า ต้องการให้แก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ในระดับที่สูงด้วยเช่นกัน คำสำคัญ: การมีส่วนร่วมทางการเมือง, นิสิตนักศึกษา, รัฐธรรมนูญ AbstractThis is a qualitative study that looks at the factors influencing student political participation after the promulgation of the "2017 ".  The data was collected from a sample group of students, aged 18-25 years, who were required to vote in the general election held on 24 March 2019. The respondents consisted of a group of 60 students from each of the following 3 universities: Nakhon Si Thammarat Rajabhat University, Kasetsart University, and Silpakorn University. The study's objectives included, (a) to identify the characteristics of the students that participated in  political actions, (b) to study the factors that influenced student political participation, and (3)  to analyze the effect of student political participation on the democratization process in Thailand. The study's findings illustrated that students were eager to participate in various political activities each time they had the opportunity to do so.  This included voting, taking part in the referendum exercise, and engaging in political discussions.  The students indicated that the role of online media, especially Facebook and Twitter, was their most important source of information. The study sample group stated that they were interested in receiving information on a daily basis or whenever there were opportunities to do so. At the same time the students felt that when viewing the role of political parties, politicians, and the media, most respondents nevertheless had serious questions regarding these 3 entities.  The respondents also highlighted the fact that their participation in the political process was based upon their rights as Thai citizens as they wished to further the development of the political process and democracy in Thailand.  The study similarly found that most students do not feel that the present constitution supports political participation, and accordingly the current constitution needs to be amended at a high level. Keywords: political participation, students, constitutio