Srinakharinwirot University: SWU e-Journals System
Not a member yet
    8942 research outputs found

    In Silico Investigation of Estrogen Receptor Alpha Inhibition by Alkyleneoxyberberine Derivatives

    Get PDF
    Breast cancer remains one of the most prevalent malignancies worldwide, with estrogen receptor alpha (ERα) playing a crucial role in its development and progression. In this study, we investigated the binding interactions and stability of berberrubine (1) and 9-(4-methyl phenethoxy) berberine (2) as potential ERα inhibitors using computational approaches. Molecular docking was performed to evaluate binding affinities and interactions, followed by molecular dynamics (MD) simulations to assess the stability and conformational changes of the ERα-ligand complexes. The binding free energy was further analyzed using Molecular Mechanics/Generalized Born Surface Area (MM-GBSA) calculations to identify key energy contributions. The results demonstrated that (2) exhibited stronger and more stable binding to ERα than (1), though both were less potent than 4-hydroxytamoxifen (OHT), a standard ERα inhibitor. Additionally, ERα-(2) interacts with key residues ALA350, GLU353, and ARG394, while exhibiting stronger van der Waals interactions than ERα-(1), consistent with the MMGBSA energy component analysis. The study provides insights into the molecular mechanisms of ERα inhibition by berberine derivatives and highlights their potential as lead compounds for further development in breast cancer therapy

    ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษากับการบริหารงานวิชาการ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานี: THE RELATIONSHIP BETWEEN THE CREATIVE LEADERSHIP AND THE ACADEMIC ADMINISTRATION UNDER THE PATHUM THANI SECONDARY EDUCATIONAL SEVICE AREA OFFICE

    Get PDF
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานี 2) เพื่อศึกษาการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานี และ 3) เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษากับการบริหารงานวิชาการ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานี กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูที่ปฏิบัติหน้าที่สอนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานี จำนวน 322 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.980 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานี โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก 2) การบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานี โดยภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ของผู้บริหารสถานศึกษากับการบริหารงานวิชาการ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานี โดยภาพรวมมีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .0

    ความต้องการจำเป็นในการพัฒนาภาวะผู้นำของนิสิตสาขาบริหาการศึกษา คณะ ศึกษาศาสตร์และพัฒนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน : Needs in leadership development of Educational administration students, De-partment of Teacher Education, Kasetsart University Kamphaeng Saen Campus

    Get PDF
    การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาระดับสภาพปัจจุบันและสภาพที่คาดหวังในการพัฒนาภาวะผู้นำของนิสิตสาขาบริหารบริหารการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์และพัฒนศาสตร์  มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กลุ่มตัวอย่าง คือ นิสิตสาขาการบริหารการศึกษา ปีการศึกษา 2567 จำนวน 33 คน โดยการเลือกอย่างเจาะจง เครื่องมือที่ใช้คือแบบสอบถาม ซึ่งเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ วิเคราะห์ข้อมูลโดย ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และดัชนีความต้องการจำเป็น (PNImodified) ผลการวิจัยพบว่า ค่าดัชนีความต้องการจำเป็น (PNImodified) สูงมากที่สุด ได้แก่ 1) ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง 2) ภาวะผู้นำด้านดิจิทัล 3)ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรม 4)ภาวะผู้นำเชิงจริยธรรม และ 5)จริยธรรมภาวะผู้นำเชิงสร้างสรรค์ ส่วนค่าดัชนีความต้องการจำเป็น (PNImodified) น้อยมากที่สุด ได้แก่ภาวะผู้นำทางวิชาการ อันเป็นภาวะผู้นำที่ผู้บริหารต้องใช้ทักษะในการบริหารงานจริงสำหรับการทำงาน ดังนั้นสาขาการบริหารการศึกษาควรจัดการศึกษาตามความต้องการจำเป็นตามประเด็นเหล่านี

    แนะนำผู้เขียน

    No full text

    ความเป็นมา

    Get PDF

    การประยุกต์ใช้ WQI และ WPI สำหรับประเมินคุณภาพน้ำลุ่มน้ำบางปะกง

    Get PDF
    Application of WQI and WPI for Water Quality Assessment of Bang Pakong Watershed   Pachoenchoke Jintasaeranee and Bhumiphat Pachana   รับบทความ: 12 กุมภาพันธ์ 2568; แก้ไขบทความ: 11 มีนาคม 2568; ยอมรับตีพิมพ์: 23 มีนาคม 2568; ตีพิมพ์ออนไลน์: 4 มิถุนายน 2568   บทคัดย่อ การประเมินคุณภาพน้ำตามฤดูกาลในลุ่มน้ำสาขาของลุ่มน้ำบางปะกงในรอบปี พ.ศ. 2554–2556 ด้วยวิธีดัชนีคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดิน (WQI) และดัชนีมลพิษทางน้ำ (WPI5) พบว่า ไนเทรตละลาย (dissolved nitrate) มีค่าตามเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพน้ำผิวดินในทุกฤดู ปริมาณออกซิเจนละลาย (DO) เกือบทั้งหมดมีค่าต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพน้ำ ในขณะที่ความต้องการออกซิเจนทางชีวภาพ (BOD) แอมโมเนียละลาย (NH3–N) แบคทีเรียกลุ่มโคลิฟอร์มทั้งหมด (TCB) และแบคทีเรียกลุ่มฟีคอลโคลิฟอร์ม FCB มีค่าสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพน้ำในทุกฤดู การประเมินคุณภาพน้ำผิวดินและการปนเปื้อนเชิงพื้นที่ในลุ่มน้ำบางปะกงในรอบปี พ.ศ. 2554 แสดงว่าน้ำมีคุณภาพเสื่อมโทรมหรือมีการปนเปื้อนในฤดูร้อน มีคุณภาพเสื่อมโทรมมากและปนเปื้อนมากในฤดูฝน และน้ำมีคุณภาพดีขึ้นในฤดูหนาวซึ่งสอดคล้องกับค่า DO น้อย และ TCB และ FCB มาก ส่วนในรอบปี พ.ศ. 2555 น้ำยังคงมีคุณภาพเสื่อมโทรมมากหรือมีมลพิษมากขึ้นในลุ่มน้ำสาขาแม่น้ำปราจีนบุรี ลุ่มน้ำสาขาที่ราบบางปะกงส่วนที่ 1 และลุ่มน้ำสาขาที่ราบบางปะกงส่วนที่ 2 มากกว่าปีที่ผ่านมา และมีคุณภาพดีขึ้นในฤดูหนาว และสุดท้ายในปี พ.ศ. 2556 พบว่าน้ำในลุ่มน้ำบางปะกงมีคุณภาพดีขึ้นเล็กน้อยในฤดูร้อน และมีคุณภาพเสื่อมโทรมมากขึ้นและการปนเปื้อนมลพิษมากขึ้นอีกในฤดูฝน แล้วจึงกลับมามีคุณภาพดีขึ้นหรือมีการปนเปื้อนมลพิษในน้ำน้อยลงในฤดูหนาว สอดคล้องกับช่วงเวลาที่พื้นที่ลุ่มน้ำบางปะกงได้รับอิทธิพลของพายุ GAEMI ทำให้เกิดน้ำป่าไหลหลากและน้ำท่วมฉับพลันในช่วงระหว่างเดือนกันยายนถึงเดือนตุลาคม พ.ศ. 2555 และน้ำท่วมพื้นที่ลุ่มน้ำบางปะกงในช่วงฤดูฝนในปี พ.ศ. 2556 ที่อาจพาสารอาหารจากพื้นที่เกษตรกรรม ปศุสัตว์ และสิ่งปฏิกูลจากชุมชนลงสู่ลุ่มน้ำบางปะกง ส่งผลให้คุณภาพน้ำมี DO ต่ำ ในขณะที่พบ BOD  NH3–N  TCB และ FCB มีค่าสูง คะแนนดัชนีคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดิน (WQI) และคะแนนดัชนีมลพิษทางน้ำ (WPI5) ในลุ่มน้ำบางปะกงมีความสัมพันธ์กันเชิงลบในฤดูร้อน ปี พ.ศ. 2554 และ 2555 โดยมีค่าสัมประสิทธิ์การตัดสินใจ (R2) 0.5598 และ 0.5609 อย่างไรก็ตามการย่อยสลายในลุ่มน้ำจากกิจกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์สามารถใช้ได้ง่ายกับดัชนีคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดิน (WQI) และสามารถใช้ดัชนีมลพิษทางน้ำ (WPI5) ประเมินคุณภาพมลพิษทางน้ำที่หลากหลายมากกว่าผลการประเมินคุณภาพน้ำด้วยวิธีนี้อาจใช้สำหรับการประเมินประสิทธิภาพการใช้น้ำและสิ่งแวดล้อมในเชิงวิทยาศาสตร์ มูลค่าความเสียหายในทางเศรษฐศาสตร์จากปัญหาคุณภาพน้ำเสื่อมโทรม รวมทั้งอาจใช้เป็นข้อมูลในการบริหารจัดการน้ำในลุ่มน้ำบางปะกงได้ต่อไป คำสำคัญ:  ดัชนีคุณภาพน้ำ  ดัชนีมลพิษ  ลุ่มน้ำบางปะกง   Abstract The seasonal water quality assessment in the tributaries of the Bang Pakong river basin during 2011–2013 using the surface water quality index (WQI) and water pollution index (WPI5) found that dissolved nitrate was in accordance with the surface water quality standards in every season. Almost all dissolved oxygen (DO) was lower than the water quality standards, while the biological oxygen demand (BOD), dissolved ammonia (NH3–N), total coliform bacteria (TCB), and fecal coliform bacteria (FCB) were higher than the water quality standards in every season. The spatial assessment of surface water quality and contamination in the Bang Pakong basin in 2011 showed that the water quality was deteriorated or contaminated in summer, and very deteriorated and highly contaminated in the rainy season, and the water quality was better in winter, which was consistent with low DO and high TCB and FCB. In 2012, the water quality was still much deteriorated or more polluted in the Prachin Buri river tributaries, the Bang Pakong plain tributaries Part 1, and the Bang Pakong Plain tributaries Part 2, more than the previous year, and the quality was better in winter. Finally, in 2013, the water quality in the Bang Pakong basin was slightly better in summer, then deteriorated and more polluted in the rainy season, and returned to better quality or less polluted in winter. This is consistent with the period when the Bang Pakong basin was affected by the GAEMI storm, causing flash floods and mudslides during September to October 2012 and flooding in the Bang Pakong basin during the rainy season of 2013, which may have carried nutrients from agricultural areas, livestock and community waste flow into the Bang Pakong Watershed, resulting in low DO in water and high values of BOD, NH3–N, TCB and FCB. The score of surface water quality index (WQI) and water pollution index (WPI5) in the Bang Pakong river basin were negatively correlated in summer 2011 and 2012, with coefficients of determination (R2) of 0.5598 and 0.5609, respectively. However, watershed degradation from aquaculture activities can be easily applied to this water quality index (WQI) and the water pollution index (WPI) can be used to assess a wider range of water pollution conditions. The results of this water quality assessment may be used as a basis for scientific assessment of water use efficiency and environment, economic damages from water quality deterioration, and may also be used as information for water management in the Bang Pakong river basin. Keywords: Bang Pakong watershed, Water pollution index, Water quality inde

    การพัฒนาพฤติกรรมเอื้อต่อสังคมในวิชาสังคมศึกษาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้แนวคิดการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมกับการสนับสนุนทางสังคม: Enhancing Prosocial Behavior in Social Studies for Grade 9 Students through Cooperative Teaching Methodology and Social Support Framework

    No full text
    งานวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ (1) พัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษาที่ส่งเสริมพฤติกรรมเอื้อต่อสังคมในนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และ (2) เปรียบเทียบพฤติกรรมเอื้อต่อสังคมของนักเรียนก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้แนวคิดการจัดการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษาแบบร่วมมือร่วมกับการสนับสนุนทางสังคม เป็นงานวิจัยเชิงทดลองเบื้องต้น (Pre-Experimental research) กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร (ฝ่ายมัธยม) จำนวน 31 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบแบ่งกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้น และแบบวัดพฤติกรรมเอื้อต่อสังคมสำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น ผลการศึกษาพบว่า ผลการพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ฯ พบว่ามีความเหมาะสมในระดับดีมาก (ค่าเฉลี่ย 4.93 และ 4.86 จาก 5 ตามลำดับ) และผลการเปรียบเทียบพฤติกรรมเอื้อต่อสังคมก่อนและหลังเรียนพบว่า นักเรียนมีคะแนนพฤติกรรมเอื้อต่อสังคมหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (Mean = 4.02, t = 5.358) โดยทุกด้านของพฤติกรรมเอื้อต่อสังคมหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน (การให้ Mean = 3.35, t = 4.409; การแบ่งปัน Mean = 4.20, t = 2.717; การช่วยเหลือ Mean = 3.86, t = 4.050; การปลอบโยน Mean = 4.52, t = 4.311; การร่วมมือ Mean = 3.77, t = 3.876) ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่าการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมกับการสนับสนุนทางสังคมสามารถพัฒนาพฤติกรรมเอื้อต่อสังคมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ได้ (The purposes of this study are to 1) develop a learning management plan in social studies that promotes prosocial behavior in 9th grade students and 2) compare students' prosocial behavior before and after learning management by combining the concept of cooperative learning in social studies with social support. This is a pre-experimental research study. The sample consists of 31 9th grade students from Srinakharinwirot University Prasarnmit Demonstration School (Secondary). The sample was obtained through cluster sampling. The research instruments include the developed learning management plan and a scale to measure prosocial behavior for junior high school students. The development of the learning management plan was evaluated by experts and found to have a high level of appropriateness (mean scores of 4.93 and 4.86 out of 5). A comparison of prosocial behavior before and after learning shows that students have significantly higher scores for prosocial behavior after learning (mean= 4.02, t= 5.358, p < .05). All aspects of prosocial behavior were higher after learning (giving: mean= 3.35, t= 4.409; sharing: mean= 4.20, t= 2.717; helping: mean= 3.86, t= 4.050; comforting: mean= 4.52, t= 4.311; cooperating: mean= 3.77, t= 3.876). The results indicate that cooperative learning management along with social support can effectively develop prosocial behavior in 9th grade students.

    Editorial note, table of content and instructions for authors

    No full text
    Editorial Note   In this first issue of volume 20, the Journal has been proudly presenting five studies. The disciplines and issues of these research papers were somewhat diverse from applied laboratory work, to clinical practice both for pharmacy and nursing. In this challenging endeavor of the Thai Pharmaceutical and Health Science Journal, we are hopeful to better the quality of the articles published. We urge more submissions from international research community, regional and global. We would like to thank in advance for any prospective submissions.                                                                                       Editor-in-Chie

    ปัจจัยที่สัมพันธ์กับประสบการณ์การมีอาการในคนไข้โรคมะเร็งระบบทางเดินอาหารที่ได้รับเคมีบำบัดหลังผ่าตัด Factors Related to Symptom Experience among Patients with Gastrointestinal Cancer Receiving Post-operative Chemotherapy

    Get PDF
    บทคัดย่อ วัตถุประสงค์: เพื่ออธิบายประสบการณ์การมีอาการและทดสอบความสัมพันธ์ของประสบการณ์ฯ กับเพศ ปริมาณยาออกซิลิพลาตินสะสม  พฤติกรรมการดูแลตนเอง และการสนับสนุนทางสังคมกับประสบการณ์การมีอาการในผู้ป่วยมะเร็งทางเดินอาหารที่ได้รับเคมีบำบัดภายหลังการผ่าตัด วิธีการศึกษา: การศึกษาเชิงความสัมพันธ์มีกลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยมะเร็งทางเดินอาหารที่รับการรักษาต่อเนื่องที่แผนกศัลยกรรมทางเดินอาหาร The Second Affiliated Hospital of Wenzhou Medical University in China จำนวน 111 คน จากการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย รวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม 1) ข้อมูลส่วนบุคคล 2) แบบสอบถามประสบการณ์การมีอาการ 3) แบบประเมินการสนับสนุนทางสังคม 4) แบบสอบถามพฤติกรรมการดูแลตนเอง ทดสอบความสัมพันธ์ด้วยสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สันและพอยท์ไบซีเรียล ผลการศึกษา: กลุ่มตัวอย่างรายงานประสบการณ์ฯ 2 - 25 อาการต่อคน (เฉลี่ย 9.8 ± 5.22) อาการที่พบมากที่สุด ได้แก่ ชามือและเท้า (81.7%) หมดพลังงาน (78.3%) คลื่นไส้ (73.3%) ไม่อยากอาหาร (71.7%) เปลี่ยนแปลงการรับรสชาติอาหาร (56.7%) และอาการเหล่านี้มีความถี่ ความรุนแรง ความทุกข์ทรมานมากกว่าอาการอื่น ๆ เพศหญิง และปริมาณสะสมของยาออกซิลิพลาติน (P-value < 0.05 และ < 0.01 ทั้งหมด) สัมพันธ์ทางบวกกับประสบการณ์ฯ ในมิติความถี่ ความรุนแรงและความทุกข์ทรมานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ พฤติกรรมการดูแลตนเองและการสนับสนุนทางสังคมสัมพันธ์ทางลบกับประสบการณ์ฯ ในมิติความถี่ ความรุนแรงและความทุกข์ทรมานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P-value < 0.01 ทั้งหมด) อายุไม่สัมพันธ์กับประสบการณ์ฯ ในทุกมิติ สรุป: ผู้ป่วยมะเร็งทางเดินอาหารที่รับเคมีบำบัดหลังผ่าตัดมีประสบการณ์อาการ 2 - 25 อาการต่อคน เพศหญิงและปริมาณสะสมของยาออกซิลิพลาตินสัมพันธ์ทางบวก ส่วนพฤติกรรมการดูแลตนเองและการสนับสนุนทางสังคมสัมพันธ์ทางลบกับประสบการณ์ ควรส่งเสริมการสนับสนุนทางสังคมและพฤติกรรมการดูแลตนเองเพื่อให้ผู้ป่วยมีอาการลดลง คำสำคัญ: มะเร็งระบบทางเดินอาหาร; ประสบการณ์การมีอาการ; ปริมาณยาเคมีบำบัดสะสม; พฤติกรรมการดูแลตนเอง; การสนับสนุนทางสังคม   บทคัดย่อ วัตถุประสงค์: เพื่ออธิบายประสบการณ์การมีอาการและทดสอบความสัมพันธ์ของประสบการณ์ฯ กับเพศ ปริมาณยาออกซิลิพลาตินสะสม  พฤติกรรมการดูแลตนเอง และการสนับสนุนทางสังคมกับประสบการณ์การมีอาการในผู้ป่วยมะเร็งทางเดินอาหารที่ได้รับเคมีบำบัดภายหลังการผ่าตัด วิธีการศึกษา: การศึกษาเชิงความสัมพันธ์มีกลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยมะเร็งทางเดินอาหารที่รับการรักษาต่อเนื่องที่แผนกศัลยกรรมทางเดินอาหาร The Second Affiliated Hospital of Wenzhou Medical University in China จำนวน 111 คน จากการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย รวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม 1) ข้อมูลส่วนบุคคล 2) แบบสอบถามประสบการณ์การมีอาการ 3) แบบประเมินการสนับสนุนทางสังคม 4) แบบสอบถามพฤติกรรมการดูแลตนเอง ทดสอบความสัมพันธ์ด้วยสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สันและพอยท์ไบซีเรียล ผลการศึกษา: กลุ่มตัวอย่างรายงานประสบการณ์ฯ 2 - 25 อาการต่อคน (เฉลี่ย 9.8 ± 5.22) อาการที่พบมากที่สุด ได้แก่ ชามือและเท้า (81.7%) หมดพลังงาน (78.3%) คลื่นไส้ (73.3%) ไม่อยากอาหาร (71.7%) เปลี่ยนแปลงการรับรสชาติอาหาร (56.7%) และอาการเหล่านี้มีความถี่ ความรุนแรง ความทุกข์ทรมานมากกว่าอาการอื่น ๆ เพศหญิง และปริมาณสะสมของยาออกซิลิพลาติน (P-value < 0.05 และ < 0.01 ทั้งหมด) สัมพันธ์ทางบวกกับประสบการณ์ฯ ในมิติความถี่ ความรุนแรงและความทุกข์ทรมานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ พฤติกรรมการดูแลตนเองและการสนับสนุนทางสังคมสัมพันธ์ทางลบกับประสบการณ์ฯ ในมิติความถี่ ความรุนแรงและความทุกข์ทรมานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P-value < 0.01 ทั้งหมด) อายุไม่สัมพันธ์กับประสบการณ์ฯ ในทุกมิติ สรุป: ผู้ป่วยมะเร็งทางเดินอาหารที่รับเคมีบำบัดหลังผ่าตัดมีประสบการณ์อาการ 2 - 25 อาการต่อคน เพศหญิงและปริมาณสะสมของยาออกซิลิพลาตินสัมพันธ์ทางบวก ส่วนพฤติกรรมการดูแลตนเองและการสนับสนุนทางสังคมสัมพันธ์ทางลบกับประสบการณ์ ควรส่งเสริมการสนับสนุนทางสังคมและพฤติกรรมการดูแลตนเองเพื่อให้ผู้ป่วยมีอาการลดลง คำสำคัญ: มะเร็งระบบทางเดินอาหาร; ประสบการณ์การมีอาการ; ปริมาณยาเคมีบำบัดสะสม; พฤติกรรมการดูแลตนเอง; การสนับสนุนทางสังคม   Abstract Objective: To determine symptom experience and its relationships with age, gender, cumulative dose of oxaliplatin, social support, and self-care behavior among patients with gastrointestinal (GI) cancer having chemotherapy after surgery. Methods: This correlational research used a simple random sampling to recruit 120 participants. Research instruments consisted of 1) demographic questionnaire, 2) The Memorial Symptom Assessment Scale (MSAS), 3) The Multidimensional Scale of Perceived Social Support, and 4) The Appraisal of Self-Care Agency Scale-Revised scale. Associations were tested using Pearson’s product-moment correlation and Point biserial correlation. Result: Participants reported experiencing 2 to 25 symptoms (mean of 9.8 ± 5.22). The top five reported symptoms were numbness/ tingling in hands/feet (81.7%), followed by lack of energy (78.3%), nausea (73.3%), lack of appetite (71.7%), and change in the way food tastes (56.7%). The five symptoms were reported with more frequency, severity, and distress than other symptoms. Female sex and cumulative dose of oxaliplatin had a positive correlation with symptom frequency, severity, and distress (P-value < 0.05 and < 0.01, respectively). Self-care behavior and social support had a statistically significant negative correlation with symptom frequency, severity, and distress (P-value < 0.01 for all). Age had no statistical correlations with any symptoms. Conclusion: Cancer patients receiving chemotherapy after surgery experienced 2 – 5 symptoms. Female and cumulative oxaliplatin dose had positive correlations and self-care behavior and social support had negative correlations with the experience. Self-care behavior and social support should be promoted to alleviate symptom experience. Keywords: gastrointestinal cancer; symptom experience; cumulative chemotherapy dose; self-care behavior; social support 

    ปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารสถานศึกษาในจังหวัดนำร่องพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา: Factors affecting the administration of educational institutions in pilot provinces Education Sandbox

    Get PDF
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยการบริหารสถานศึกษาในจังหวัดนำร่องพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา 2) ศึกษาการบริหารสถานศึกษาในจังหวัดนำร่องพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา 3) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารสถานศึกษาในจังหวัดนำร่องพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา และ 4) เป็นแนวทางในการบริหารสถานศึกษาในจังหวัดนำร่องพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารสถานศึกษาของโรงเรียนประถมศึกษาและโรงเรียนมัธยมศึกษาในจังหวัดนำร่องพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา จำนวน 108 คน ซึ่งได้จากการกำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้ตารางสำเร็จรูปของ Krejcie and Morgan และเจาะจงกลุ่มตัวอย่างผู้บริหารจำนวน 4 คน ในการสัมภาษณ์จากจังหวัดนำร่องพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาภาคใต้ ซึ่งประกอบไปด้วย 4 จังหวัด ดังต่อไปนี้ 1) จังหวัดนราธิวาส 2) จังหวัดปัตตานี 3) จังหวัดยะลา และ 4) จังหวัดสตูล เครื่องมือในการวิจัย คือ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการศึกษาปัจจัยการบริหารสถานศึกษาในจังหวัดนำร่องพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุดและรายด้านอยู่ในระดับมากที่สุดและมาก 2) ผลการศึกษาการบริหารสถานศึกษาในจังหวัดนำร่องพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมากที่สุด 3) ปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารสถานศึกษาในจังหวัดนำร่องพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา ได้แก่ การพัฒนาบุคลากร (X3) วัฒนธรรมและบรรยากาศในองค์กร (X4) เทคโนโลยีสารสนเทศ (X6) และ งบประมาณ (X7) 4) แนวทางในการบริหารสถานศึกษาในจังหวัดนำร่องพื้นที่นวัตกรรมการศึกษามี 7 ด้าน ได้แก่ 1) ภาวะผู้นำของผู้บริหาร: ผู้บริหารต้องมีความรู้ใน School Concept มีการมองการณ์ไกลและความเข้าใจในความต้องการของสถานศึกษา และจำเป็นต้องเป็นผู้นำที่ชัดเจนและมีความรับผิดชอบในการพัฒนาและส่งเสริมประสิทธิภาพของสถานศึกษาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งควรสนับสนุนครูให้เข้ารับการอบรมและการเรียนรู้ 2) โครงสร้างองค์กร: ควรมีการวางโครงสร้างที่ชัดเจนและเหมาะสมและควรมีการวางคนให้เหมาะสมกับงานและเหมาะสมกับความสามารถ 3) การพัฒนาบุคลากร: ควรพัฒนาครูให้มีความรู้เกี่ยวกับเทคนิคการจัดการเรียนรู้ใหม่ ๆ มีความรู้และเข้าใจในเรื่องต่าง ๆ ของสถานศึกษา ควรมีความรู้ในระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และผู้บริหารจะต้องเน้นการอบรม การวิจัย และการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อเสริมสร้างความรู้ ทักษะ และสมรรถนะของบุคลากรให้เหมาะสมกับความต้องการของสถานการณ์ของแต่ละสถานศึกษา 4) วัฒนธรรมและบรรยากาศในองค์กร: ควรส่งเสริมการสร้างความเป็นกัลยาณมิตรภายในองค์กร ควรสร้าง ส่งเสริม และสนับสนุนวัฒนธรรมและบรรยากาศที่ดีในสถานศึกษาของตนเอง และผู้บริหารต้องมองงานให้ออก อ่านคนให้ได้ และต้องรู้ว่าส่วนไหนมีวัฒนธรรมมีบรรยากาศในการทำงานแบบใด 5) การบริหารจัดการและกระบวนการบริหาร: ผู้บริหารต้องให้ความสำคัญกับภารกิจต่าง ๆ ทั้งการวางแผนการทำงานและการนิเทศที่เกี่ยวข้องกับการสอนและการเรียนรู้ และต้องมีการบริหารจัดการและกระบวนการบริหารที่ดีและมีมาตรการในการจัดการทางการเงิน 6) เทคโนโลยีสารสนเทศ: ควรส่งเสริมและสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีให้มากขึ้นในการบริหารงานทุกฝ่าย ควรสร้างความเข้าใจในเรื่องของการใช้เทคโนโลยีให้กับบุคลากรของสถานศึกษา และ 7) งบประมาณ: ควรให้ความสำคัญในการจัดสรรและบริหารงบประมาณให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพตามความสำคัญและความจำเป็นของงานต่าง ๆ และโปร่งใสสามารถตรวจสอบได้ รวมทั้งผู้บริหารควรมีการนำงบประมาณมาใช้อย่างคุ้มค่ามากที่สุ

    5,654

    full texts

    8,942

    metadata records
    Updated in last 30 days.
    Srinakharinwirot University: SWU e-Journals System is based in Thailand
    Access Repository Dashboard
    Do you manage Open Research Online? Become a CORE Member to access insider analytics, issue reports and manage access to outputs from your repository in the CORE Repository Dashboard! 👇